"จะอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองได้อย่างไร"
.
คนที่รักความสมบูรณ์แบบ หรือภาษาอังกฤษคือ Perfectionist มักเป็นคนที่มาตรฐานสูง ไม่ยอมรับในความผิดพลาด โทษตัวเองเมื่อไม่ไปถึงเป้าหมาย หรือเมื่อไปถึงเป้าหมายแล้วก็จะไม่พอใจ ตั้งเป้าหมายอันต่อไป คนแบบนี้มักมีอาการผัดวันประกันพรุ่ง ไม่เริ่มลงมือทำสักที ต้องรอให้พร้อมเสียก่อน
.
บางครั้งการรักความสมบูรณ์แบบก็มีข้อดี เพราะทำให้งานออกมาดี แต่ถ้ามากเกินไปอาจทำให้เสียสุขภาพจิตเพราะเอาแต่ต่อว่าตัวเอง จิตใจว้าวุ่น รู้สึกไม่มีความสุขตลอดเวลา ถ้าไปต่อว่าคนอื่นก็ทำให้เสียความสัมพันธ์
.
สาเหตุของคนรักความสมบูรณ์แบบนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อันดับแรกคือการเลี้ยงดู เด็กที่โตมาในบ้านที่คุณพ่อคุณแม่รักความสมบูรณ์แบบนั้นมักจะติดนิสัยนั้นมาด้วย เช่น บ้านต้องเป็นระเบียบ พับผ้าเก็บเรียบร้อย ทำงานเนี้ยบไม่มีที่ติ บางคนอาจรักความสมบูรณ์แบบเพราะไม่อยากให้เห็นคนอื่นเห็นความอ่อนแอของตน จึงปิดบังจุดบกพร่องนั้นด้วยความเป็นเพอร์เฟคชั่นนิส หรือบางคนมีความคิดแบบสุดโต่ง เช่น ได้คะแนน 90 จากเต็ม 100 คะแนนนั้นแปลว่าตัวเองไม่เก่ง ต้องได้คะแนนเต็มเท่านั้น ก็จะมีการยึดติดความสมบูรณ์แบบได้
.
มนุษย์ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แล้วเราจะอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบนั้นอย่างไร อันดับแรก หมอว่าคิดว่าควรจะเลิกนิสัยตัดสินตัวเองก่อน (รวมไปถึงการตัดสินคนอื่นด้วย) ตอนที่จะทำอะไร ไม่ต้องต่อว่าตัวเอง ไม่ต้องตัดสินตัวเองว่าทำดีหรือไม่ดี เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่สีขาวกับสีดำ แต่ยังมีสีเทา สีส้ม สีเขียวอีกด้วย เช่น การฝึกภาษาอื่น ไม่ต้องไปตัดสินว่าเราแกรมม่าไม่ดี หรือสำเนียงไม่เป๊ะ เราไม่มีทางสำเนียงดีเท่าเจ้าของภาษาอยู่แล้ว ให้ผิดเป็นครูและเรียนรู้ไปกับมัน หรือการทำโปรเจ็คใหม่ ๆ อาจมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ทุกครั้งที่เราล้ม เราได้เรียนรู้จากมันจะได้ไม่ผิดพลาดอีก
.
เมื่อเร็ว ๆ หมอได้เมีโอกาสดูงานประกาศรางวัลคมชัดลึกอวอร์ดครั้งที่ 20 ซึ่งคุณเบลล่า ราณี แคมเปน นักแสดงหญิงแนวหน้าของเมืองไทยได้รับรางวัลเกียรติยศ ละคร นักแสดง ทรงคุณค่าตลอดกาล ตอนคุณเบลล่าขึ้นมารับรางวัลบนเวที เธอได้กล่าวถึงชีวิตในวงการคร่าว ๆ ว่าไม่ได้โรยมาด้วยกลีบกุหลาบ หากย้อนไปเมื่อตอนที่เธอเข้าวงการใหม่ ๆ งานแสดงงานแรกของเธอคือการเป็นนางร้ายในเรื่องรอยมาร เบลล่าเล่าว่าเธอต้องนั่งรถตู้จากรังสิตไปยังพระรามสี่เพื่อเรียนการแสดงหลายวันต่อสัปดาห์ เธอแคสต์งานอยู่หลายครั้งและก็มีบางครั้งที่ไม่ได้บทตามที่ตั้งใจไว้
.
หลังจากนั้น เบลล่าได้งานเป็นนางรอง ยังไม่ได้เป็นนางเอกสักทีจนกระทั่งเรื่องพรพรหมอลเวง ส่วนบทนางเอกที่ส่งให้เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้นน่าจะเป็นเรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ซึ่งกว่าเบลล่าจะได้รับบทกรองแก้วนั้นเธอต้องแคสต์งานอยู่เป็นปี และส่งเสริมให้เธอได้รับบทนางเอกอยู่เรื่อยมา เบลล่าพูดถึงละครเรื่องต่าง ๆ ที่เธอเคยแสดงทั้งหมด รวมถึงละครบุพเพสันนิวาสที่โด่งดังและได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
.
เธอปิดท้ายว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เธอตั้งใจจะบอกผู้ฟังว่าอาชีพของเธอนั้นไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น มีทั้งความผิดหวัง ความพยายาม ความอดทนจากการถูกดูถูกและกลั่นแกล้ง เบลล่าบอกว่าเธอใช้ความพยายามและฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
“คนเราไม่ได้สำเร็จตั้งแต่ก้าวแรก”
.
หมอชอบคำนี้มาก กว่าที่เบลล่าจะมาเป็นเบลล่าที่ได้รางวัลนี้ใช้เวลาทั้งหมด 14 ปีตั้งแต่วันแรกที่ได้มาเป็นอาชีพนักแสดง เธอเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จที่เบื้องหลังนั้นไม่ได้มีแค่รอยยิ้ม แต่มีหยาดเหงื่อและน้ำตาจากอุปสรรคต่าง ๆ เธอไม่ได้แสดงละครเก่งตั้งแต่เริ่มต้น แต่เกิดจากการฝึกฝนจนชำนาญ
.
หากจะย้อนไปถึงรากศัพท์คำว่าสมบูรณ์แบบ (Perfect) มาจากภาษาละตินคำว่า Perficere
.
per คือ completely แปลว่า เสร็จสิ้น สมบูรณ์
facere คือ do แปลว่า ทำ
.
คำนี้สามารถแปลว่า "ทำให้เสร็จ" ได้ด้วย ไม่ได้แปลว่า "ทำให้สมบูรณ์" เพียงอย่างเดียว
.
ดังนั้น หนึ่งในวิธีการก็คือทำให้เสร็จดีกว่าทำให้สมบูรณ์
.
หากเบลล่ารอให้ตัวเองเล่นละครเก่งก่อนพร้อมไปแคสต์การแสดง เราอาจไม่เห็นเธอตามละครและภาพยนต์ต่าง ๆ อย่างทุกวันนี้ แต่เธอทำไปด้วยและปรับปรุงตัวเองให้เก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วย
.
หมอเองเคยติดกับกับความสมบูรณ์แบบด้วยการอยากเขียนหนังสือที่มีแต่บทเด่น ๆ เน้นเนื้อหา แต่บางทีก็เกิดอาการความคิดตัน (Writer Block) คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไร บ.ก. ก็มักจะพูดเสมอว่าเขียนดีไม่ดีไม่เป็นไร เขียนไปก่อนแล้วค่อยมาเกลากันทีหลังซึ่งก็ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว
.
สำหรับวัยเรียน อาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมในการสอบสักที จะอ่านหนังสือบทนี้ แต่ก็รู้สึกว่าต้องมีความรู้บทก่อนหน้านั้นก่อนจึงจะอ่านเข้าใจ เมื่อเวลาเลยล่วงไปก็ใกล้สอบทุกที คำแนะนำคือให้อ่านไปเลย อ่านไม่รู้เรื่องก็ถามเพื่อนหรือถามอาจารย์หลังจากนั้น เพราะอ่านก็ยังดีกว่าไม่อ่าน หรือหากต้องการจดโน๊ตและกลัวลายมือไม่สวย หรือกลัวอ่านไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เป็นไรจดไปก่อน พอทำไปสักพักเราจะเริ่มปรับปรุงการจดโน๊ตและได้เทคนิคใหม่ ๆ ในการสรุปให้อ่านง่าย แต่ถ้าไม่เริ่มก็จะไม่มีวันได้ทำ
.
สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนใจดีกับตัวเอง แม้จะพยายามทำทุกทางแล้ว สุดท้ายก็จะมีวันที่โชคร้ายหรือวันที่รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ก็ไม่เป็นไร ท้องฟ้าไม่ได้มีอากาศดีตลอดเวลา บางทีก็ฝนตกบ้าง บางทีก็มีมรสุมบ้าง แต่สุดท้ายแล้วฟ้าก็จะกลับมาสดใสเสมอ เรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองแล้วก็จะเห็นว่าใช้ชีวิตแบบนี้มีความสุขและสบายใจกว่าการหมกมุ่นกับความสมบูรณ์แบบเยอะเลย
.
หมอจริง
.
ป.ล. หมอเคยทำวิดิโอเนื้อหาเดียวกันไว้ที่ยูทูป https://youtu.be/MkNB4VpNHiI?si=yZFLvplICRpm1F01 สำหรับคนที่อยากฟังคลิปค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น