วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

จุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง

 



จุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง

ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายใน เชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็นปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน

สำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมน้อย แต่ว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินค้าทุน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตก สลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่ม สูญหายไป

สิ่งสำคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนด ชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้อง การต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่ เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี

พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)

“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่ “ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง

“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่ เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น

ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป

ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว
แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง

“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)

เศรษฐกิจพอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความ เปลี่ยนแปลงต่างๆ

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังนี้
๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
๒. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ
๓. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

โดยมี เงื่อนไข ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ  ดังนี้
๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ
๒. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
“...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้าให้อาหารมันกิน แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย...”
พระราชดำรัส เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๙

“...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔

“...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖

“...เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามีคนจน คนเดือดร้อน จำนวนมากพอสมควร แต่ใช้คำว่า พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตตภาพ...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙

“...ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙

“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙.

“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑

“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑

“...ไฟดับถ้ามีความจำเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒

“...โครงการต่างๆ หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ ต้องมีความสอดคล้องกันดีที่ไม่ใช่เหมือนทฤษฎีใหม่ ที่ใช้ที่ดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถที่จะปลูกข้าวพอกิน กิจการนี้ใหญ่กว่า แต่ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสักก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง แต่ที่จริงแล้ว เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน...”
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒

“...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...”
พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
๑๗ มกราคม ๒๕๔๔

ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้ผู้ผลิต หรือผู้บริโภค พยายามเริ่มต้นผลิต หรือบริโภคภายใต้ขอบเขต ข้อจำกัดของรายได้ หรือทรัพยากรที่มีอยู่ไปก่อน ซึ่งก็คือ หลักในการลดการพึ่งพา เพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมการผลิตได้ด้วยตนเอง และลดภาวะการเสี่ยงจากการไม่สามารถควบคุมระบบตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เศรษฐกิจพอเพียงมิใช่หมายความถึง การกระเบียดกระเสียนจนเกินสมควร หากแต่อาจฟุ่มเฟือยได้เป็นครั้งคราวตามอัตภาพ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ มักใช้จ่ายเกินตัว เกินฐานะที่หามาได้

เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจได้  เช่น โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเน้นที่เศรษฐกิจการเกษตร เน้นความมั่นคงทางอาหาร เป็นการสร้างความมั่นคงให้เป็นระบบเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง จึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ยง หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบัติอย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคม

การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริพอเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าใจถึงสภาพสังคมไทย ดังนั้น เมื่อได้พระราชทานแนวพระราชดำริ หรือพระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคำนึงถึงวิถีชีวิต สภาพสังคมของประชาชนด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในทางปฏิบัติได้
แนวพระราชดำริในการดำเนินชีวิตแบบพอเพียง

๑. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต
๒. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต
๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง
๔. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ
๕. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา

ตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง

ทฤษฎีใหม่

ทฤษฎีใหม่
 คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของ การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่เด่นชัดที่สุด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหาทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัยภาย นอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตร ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยไม่เดือดร้อนและยากลำบากนัก
ความเสี่ยงที่เกษตรกร มักพบเป็นประจำ ประกอบด้วย

๑. ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร
๒. ความเสี่ยงในราคาและการพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศ
๓. ความเสี่ยงด้านน้ำ ฝนทิ้งช่วง ฝนแล้ง
๔. ภัยธรรมชาติอื่นๆ และโรคระบาด
๕. ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต
- ความเสี่ยงด้านโรคและศัตรูพืช
- ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงาน
- ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการสูญเสียที่ดิน
ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ทฤษฎีใหม่

ความสำคัญของทฤษฎีใหม่
๑. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
๒. มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี
๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน

ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น

ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง
พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ
พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอด ปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย
พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ

ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้าน
(๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)
- เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่ม ตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดหาน้ำ และอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก
(๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต)
- เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
(๓) การเป็นอยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ)
- ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ำปลา เสื้อผ้า ที่พอเพียง
(๔) สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้)
- แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน
(๕) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)
- ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง
(๖) สังคมและศาสนา
- ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว
โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ

ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม

เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต
ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ
- เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา)
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)
- เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง)
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น

หลักการและแนวทางสำคัญ
๑. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับ ที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานด้วย

๒. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนาประมาณ ๕ ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ
๓. ต้องมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ำ โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ ได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ ฉะนั้น เมื่อทำนา ๕ ไร่ ทำพืชไร่ หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้ำ ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี

ดังนั้น หากตั้งสมมติฐานว่า มีพื้นที่ ๕ ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าวๆ ว่า แต่ละแปลง ประกอบด้วย
- นาข้าว ๕ ไร่
- พืชไร่ พืชสวน ๕ ไร่
- สระน้ำ ๓ ไร่ ขุดลึก ๔ เมตร จุน้ำได้ประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง
- ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ๒ ไร่
รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่
แต่ทั้งนี้ ขนาดของสระเก็บน้ำขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ดังนี้
- ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระน้ำควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยได้มากเกินไป ซึ่งจะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี
- ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือตื้น และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมีน้ำมาเติมอยู่เรื่อยๆ
การมีสระเก็บน้ำก็เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งปี (ทรงเรียกว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี มีระบบน้ำหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่า เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเขื่อน ซึ่งจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้น้ำที่เก็บตุนนั้น ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพื่อจะได้มีผลผลิตอื่นๆ ไว้บริโภคและสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี
๔. การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัว เฉลี่ยครัวเรือนละ ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ เป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ
ร้อยละ ๓๐ ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย) บนสระอาจสร้างเล้าไก่และบนขอบสระน้ำอาจปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่ใช้น้ำมากโดยรอบ ได้
ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สอง ทำนา
ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น)
ร้อยละ ๑๐ สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น)

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ที่มีฝนตกชุก หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมาเติมสระได้ต่อเนื่อง ก็อาจลดขนาดของบ่อ หรือสระเก็บน้ำให้เล็กลง เพื่อเก็บพื้นที่ไว้ใช้ประโชน์อื่นต่อไปได้

๕. การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้น เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย และที่สำคัญ คือ ราคาการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้ำ เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการ มูลนิธิ และเอกชน
๖. ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาจำนวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดี ควรนำไปกองไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี หรืออาจนำมาถมทำขอบสระน้ำ หรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผลก็จะได้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง

ตัวอย่างพืชที่ควรปลูกและสัตว์ที่ควรเลี้ยง
ไม้ผลและผักยืนต้น : มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมุด ส้ม กล้วย น้อยหน่า มะละกอ กะท้อน แคบ้าน มะรุม สะเดา ขี้เหล็ก กระถิน ฯลฯ
ผักล้มลุกและดอกไม้ : มันเทศ เผือก ถั่วฝักยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบ รัก และซ่อนกลิ่น เป็นต้น
เห็ด : เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น
สมุนไพรและเครื่องเทศ : หมาก พลู พริกไท บุก บัวบก มะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝก และพืชผักบางชนิด เช่น กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เป็นต้น
ไม้ใช้สอยและเชื้อเพลิง : ไผ่ มะพร้าว ตาล กระถินณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจุรี กระถิน สะเดา ขี้เหล็ก ประดู่ ชิงชัน และยางนา เป็นต้น
พืชไร่ : ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย มันสำปะหลัง ละหุ่ง นุ่น เป็นต้น พืชไร่หลายชนิดอาจเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตยังสดอยู่ และจำหน่ายเป็นพืชประเภทผักได้ และมีราคาดีกว่าเก็บเมื่อแก่ ได้แก่ ข้าวโพด ถัวเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย และมันสำปะหลัง
พืชบำรุงดินและพืชคลุมดิน : ถั่วมะแฮะ ถั่วฮามาต้า โสนแอฟริกัน โสนพื้นเมือง ปอเทือง ถั่วพร้า ขี้เหล็ก กระถิน รวมทั้งถั่วเขียวและถั่วพุ่ม เป็นต้น และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วไถกลบลงไปเพื่อบำรุงดินได้
หมายเหตุ : พืชหลายชนิดใช้ทำประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่งชนิด และการเลือกปลูกพืชควรเน้นพืชยืนต้นด้วย เพราะการดูแลรักษาในระยะหลังจะลดน้อยลง มีผลผลิตทยอยออกตลอดปี ควรเลือกพืชยืนต้นชนิดต่างๆ กัน ให้ความร่มเย็นและชุ่มชื้นกับที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และควรเลือกต้นไม้ให้สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ เช่น ไม่ควรปลูกยูคาลิปตัสบริเวณขอบสระ ควรเป็นไม้ผลแทน เป็นต้น

สัตว์เลี้ยงอื่นๆ ได้แก่

สัตว์น้ำ : ปลาไน ปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลาดุก เพื่อเป็นอาหารเสริมประเภทโปรตีน และยังสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมได้อีกด้วย ในบางพื้นที่สามารถเลี้ยงกบได้
สุกร หรือ ไก่ เลี้ยงบนขอบสระน้ำ ทั้งนี้ มูลสุกรและไก่สามารถนำมาเป็นอาหารปลา บางแห่งอาจเลี้ยงเป็ดได้

ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่
๑. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”
๒. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้ โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน
๓. ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้โดยไม่เดือดร้อนในเรื่องค่า ใช้จ่ายต่างๆ
๔. ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากนัก ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย

ทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์ 

ทฤษฎีใหม่ที่ดำเนินการโดยอาศัยแหล่งน้ำ ธรรมชาติ น้ำฝน จะอยู่ในลักษณะ “หมิ่นเหม่” เพราะหากปีใดฝนน้อย น้ำอาจจะไม่เพียงพอ ฉะนั้น การที่จะทำให้ทฤษฎีใหม่สมบูรณ์ได้นั้น จำเป็นต้องมีสระเก็บกักน้ำที่มีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ โดยการมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเพิ่มเติมน้ำในสระเก็บกักน้ำให้เต็มอยู่ เสมอ ดังเช่น กรณีของการทดลองที่โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ จังหวัดสระบุรี

ระบบทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์
อ่างใหญ่ เติมอ่างเล็ก อ่างเล็ก เติมสระน้ำ




จากภาพ วงกลมเล็ก คือสระน้ำที่เกษตรกรขุดขึ้นตามทฤษฎีใหม่ เมื่อเกิดช่วงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง เกษตรกรสามารถสูบน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ และหากน้ำในสระน้ำไม่เพียงพอก็ขอรับน้ำจากอ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ซึ่งได้ทำระบบส่งน้ำเชื่อมต่อทางท่อลงมายังสระน้ำที่ได้ขุดไว้ในแต่ละแปลง ซึ่งจะช่วยให้สามารถมีน้ำใช้ตลอดปี

กรณีที่เกษตรกรใช้น้ำกันมาก อ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็อาจมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ก็สามารถใช้วิธีการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (อ่างใหญ่) ต่อลงมายังอ่างเก็บน้ำห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็จะช่วยให้มีปริมาณน้ำมาเติมในสระของเกษตรกรพอตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องเสี่ยง
ระบบการจัดการทรัพยากรน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด จากระบบส่งท่อเปิดผ่านไปตามแปลงไร่นาต่างๆ ถึง ๓-๕ เท่า เพราะยามหน้าฝน นอกจากจะมีน้ำในอ่างเก็บน้ำแล้ว ยังมีน้ำในสระของราษฎรเก็บไว้พร้อมกันด้วย ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มอย่างมหาศาล น้ำในอ่างที่ต่อมาสู่สระจะทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำสำรอง คอยเติมเท่านั้นเอง

ที่มา 

https://www.chaipat.or.th/publication/publish-document/sufficiency-economy.html


วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ทำไมข้อสอบท้องถิ่น ถึงยาก

 ทำไมข้อสอบท้องถิ่น ถึงยาก

แซวขำๆนะครับ  แต่ก็เป็นเรื่องจริง  (เพื่อให้อ่านหนังสือเยอะๆจะได้สอบได้)

วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เปิดจองหนังสือภาค ก.ท้องถิ่น ราคา 380 บาท ส่งฟรีทั่วประเทศ

 #เปิดจองหนังสือภาค ก.ท้องถิ่น ราคา 380 บาท ส่งฟรีทั่วประเทศ  

ส่งรอบที่ 4 วันที่ 31 พฤษภาคม 2566  (ผลิตตามจำนวนโอนจองครับผม) ส่งข้อความเพื่อจองที่ https://www.facebook.com/prapun2523

หรือดูบัญชีโอนเงินหรือตัวอย่างหนังสือได้ที่ลิ้งก์นี้ https://prapun2523.blogspot.com/2022/09/380-25-2565.html?fbclid=IwAR1IdMwB0ayflDuP0Nr-IX0V7SOO_iHpxx83ihRUX3Mde8Ie-voA5tUsZUc


#รายชื่อ ผู้สั่งหนังสือ

(*1) วิชาภรณ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

(*2) อารีรัตน์ จังหวัดนครพนม 

(*3) สาวิตรี จังหวัดสงขลา 

(*4) กาญจนาพร จังหวัดนครสวรรค์ 

(*5) สารินท์ จังหวัดกาฬสินธุ์  (เล่มที่ 1)

(*6) อาอีชะห์ จังหวัดยะลา (เล่มที่ 1)

(*7) อาอีชะห์ จังหวัดยะลา  (เล่มที่ 2)

(8*) สารินท์ จังหวัดกาฬสินธุ์  (เล่มที่ 2**)

(9*) มติมนต์ จังหวัดเพชรบูรณ์*

(10*) สุนิสา จังหวัดนครศรีธรรมราช 

(11*) ทิพวัลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช *

(12*) กมลชนก จังหวัดสมุทรปราการ *

(*13) กรรณิการ์  จังหวัดหนองบัวลำภู-  

(*14) อังดารักษ์ จังหวัดแพร่ *

(15) ภานุมาส จังหวัดชัยภูมิ 

(16)ศุภชัย จังหวัดอุบลราชธานี 

(17)ฉันทนา จังหวัดสกลนคร

(18) นวภัส จังหวัดพะเยา 

(19) ปรานี จังหวัดนราธิวาส 

(20) วรภัคธรณ์ จังหวัดชลบุรี 

(21) ฟาง จังหวัดนครศรีธรรมราช 

(22)ชาญเดช จังหวัดจันทบุรี

(23)กวินภพ จังหวัดสุโขทัย 

(24) กัญญาณัฐ จังหวัดบุรีรัมย์ (เล่มที่ 1)

(25) กัญญาณัฐ จังหวัดบุรีรัมย์ (เล่มที่ 2)

(26) กิ่งทอง จังหวัดเชียงราย

#เปิดจองภาค ก.ท้องถิ่นรอบที่ 4 ส่งวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 (ผลิตตามจำนวนโอนจองครับผมส่งข้อความเพื่อจองที่ https://www.facebook.com/prapun2523


โอนจอง ตามเลขบัญชี 983-2-12605-3 (กรุงไทย นายประพันธ์ เวารัมย์ เท่านั้น) บัญชีนี้เท่านั้น หรือพร้อมเพย์ 0805361923 ครับ

380 บาท ส่งฟรีทั่วประเทศ

#เปิดจองหนังสือภาค ก.ท้องถิ่น ราคา 380 บาท ส่งฟรีทั่วประเทศ  

ส่งรอบที่ 3 วันที่ 30 เมษายน 2566  (ผลิตตามจำนวนโอนจองครับผม) ส่งข้อความเพื่อจองที่ https://www.facebook.com/prapun2523

หรือดูบัญชีโอนเงินหรือตัวอย่างหนังสือได้ที่ลิ้งก์นี้ https://prapun2523.blogspot.com/2022/09/380-25-2565.html?fbclid=IwAR1IdMwB0ayflDuP0Nr-IX0V7SOO_iHpxx83ihRUX3Mde8Ie-voA5tUsZUc


รายชื่อ ผู้สั่งหนังสือ

1. พิชิตชัย จังหวัดสุพรรณบุรี

2. โชคทวี  จังหวัดปราจีนบุรี

3. กมลชนก  จังหวัดนครพนม

4. ปรีชา จังหวัดระยอง

5. มงคล จังหวัดชลบุรี

6. ปราโมทย์ จังหวัดสระแก้ว

7. ธีรชัย  จังหวัดอ่างท่อง

8. ณรงค์ฤทธิ์  จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

9. ศิริพร  จังหวัดเชียงใหม่

10. ดำรงศักดิ์ จังหวัดลำพูน

11. ชัยยง  จังหวัดระนอง

12. มานะศักดิ์  จังหวัดชัยภูมิ

13. ทรงวุฒิ  จังหวัดสุรินทร์

14. ปราณี จังหวัดนครราชสีมา

15.  ณรงค์  จังหวัดพิษณุโลก

16.  อนงค์วรรณ จังหวัดตาก

17. สุปราณี จังหวัดอำนาจเจริญ

18. จันทิรา  จังหวัดอุบลราชธานี

19.  เตือนใจ  จังหวัดเพชรบูรณ์

20. กุลธิดา  จังหวัดกาญจนบุรี.

(21) ชลิตา จังหวัดจันทบุรี 

(22) จิราภรณ์  จังหวัดนครศรีธรรมราช 

(23) สุภาวดี จังหวัดสมุทรปราการ

(24) ณัฐฏิฑาณ จังหวัดลพบุรี

(25) กิตติยาภรณ์ จังหวัดหนองบัวลำภู 

(25/1) จันทร์แรม จังหวัดกำแพงเพชร 

*(26) อรศุภางค์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

(27) พลอยณิศา จังหวัดเชียงราย 

(28) ล้อมพงศ์  จังหวัดอุดรธานี (เล่มที่ 1)

(29) ล้อมพงศ์ จังหวัดอุดรธานี  (เล่มที่ 2)

(30) นาวิน  จังหวัดกาฬสินธุ์ 

(31) รินรดา จังหวัดชลบุรี 

(32) เกศศิริ กรุงเทพมหานคร 

(33) ณัฐปภัสร์ จังหวัดสุโขทัย

(*34) เบญญาภา จังหวัดอำนาจเจริญ

(35) พิชญาภา จังหวัดชลบุรี

(36) ชุลีพร จังหวัดชัยนาท

(37) ชุติกาญจน์ จังหวัดสงขลา

(38) ณัฐมนกานต์  กรุงเทพมหานคร 

(39) ทัศนีย์  จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

(40) ศิริพร จังหวัดนครสวรรค์ 

(41) วารุณี 

(*42) รุสมีนี จังหวัดนราธิวาส 

(*43) ซำรีนา จังหวัดนราธิวาส 

(*44) หงษ์ทอง จังหวัดบุรีรัมย์ 

(45) รวิวรรณ จังหวัดกำแพงเพชร 

(46) วิมลรัตน์ จังหวัดน่าน  

(47) สิริกันยา  จังหวัดแพร่ 

(48)รดาศา จังหวัดสุโขทัย 

(49) ธันย์ชนก  จังหวัดฉะเชิงเทรา 

(50) จันทร์ลักษณ์  จังหวัดสตูล 

(51) จุฑารัตน์ จังหวัดมุกดาหาร 

(52) หทัยรัตน์  จังหวัดสุรินทร์  

(53) เกศรินทร์ จังหวัดชัยภูมิ

(54) โหน่ง  จังหวัดแพร่

(55)โสภณ  กรุงเทพมหานคร 

(56) กชพร จังหวัดแม่ฮ่องสอน 

(57)นรินันท์ จังหวัดน่าน

(58) วิลัยพร  จังหวัดมหาสารคาม 

(59) ปิยนุช จังหวัดสงขลา

(60) สุบัน จังหวัดบึงกาฬ  

(61) สุวารีย์ จังหวัดพิษณุโลก 

(62) รัชนี จังหวัดพิษณุโลก

(63) กีรติ  จังหวัดลำพูน

(64) อินทุอร  จังหวัดพิจิตร 

(65) อัจฉรา   จังหวัดเชียงราย

(66) พรพิมล จังหวัดชลบุรี (เล่มที่ 1) 

(67) พรพิมล จังหวัดชลบุรี (เล่มที่ 2)

(68) กิ๊ฟ  จังหวัดนครศรีธรรมราช

(69) เพ็ญสิริ จังหวัดอุบลราชธานี 

(70) วงพร จังหวัดพิษณุโลก 

(71) รจนา จังหวัดสกลนคร

(72) ธรรนธร  จังหวัดสมุทรปราการ

(73) เปรมกฤษ จังหวัดสมุทรสาคร 

(74)มนัสนันท์ จังหวัดสมุทรปราการ 

(75) สิริทิพย์  จังหวัดอุดรธานี 

(76) สุณีย์ จังหวัดสงขลา 

(77)อัสมีรา จังหวัดนราธิวาส

(78) ภัทรานิษฐ์ จังหวัดนนทบุรี 

(79) อภิสิทธิ์ จังหวัดนราธิวาส

(80) สำราญ  จังหวัดขอนแก่น

(81) อรอนงค์  กรุงเทพมหานคร

(82) โนรไลลี จังหวัดนราธิวาส 

(83) ปริยากร จังหวัดเชียงใหม่ 

(84)ปูริดา จังหวัดเชียงราย

(85) ศุภณัฐ จังหวัดฉะเชิงเทรา 

(86) ลลิตา  จังหวัดสกลนคร 

(87)เบญจวรรณ จังหวัดเชียงใหม่

(88) สุชาดา จังหวัดสระบุรี 

(89) วิษณุ กรุงเทพมหานคร 

(90) สิทธิศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ 

(91) วิลาวัลย์ กรุงเทพมหานคร 

(92) ปรารถนา จังหวัดเชียงราย 

(93) อำไพ  จังหวัดเพชรบุรี 

(94) สุวพิชชา จังหวัดนครศรีธรรมราช

(95) คอลี จังหวัดยะลา

(96) พลอย กรุงเทพมหานคร 

(97) พงศ์เดช จังหวัดอุดรธานี 

(98) ปฏิภาณ จังหวัดชลบุรี 

(99) ยุวภา จังหวัดเพชรบูรณ์ 

(100) ภัณฑิรา จังหวัดอุบลราชธานี 

(101) วิมลรัตน์ จังหวัดพัทลุง 

(102) จันทรกานต์ จังหวัดชลบุรี

(103) สรญา จังหวัดพิจิตร 


#เปิดจองภาค ก.ท้องถิ่นรอบที่ 3 ส่งวันที่ 30 เมษายน 2566 (ผลิตตามจำนวนโอนจองครับผมส่งข้อความเพื่อจองที่ https://www.facebook.com/prapun2523


โอนจอง ตามเลขบัญชี 983-2-12605-3 (กรุงไทย นายประพันธ์ เวารัมย์ เท่านั้น) บัญชีนี้เท่านั้น หรือพร้อมเพย์ 0805361923 ครับ

380 บาท ส่งฟรีทั่วประเทศ



เปิดจองหนังสือภาค ก.ท้องถิ่นรอบที่ 2 ส่งวันที่ 28 ก.พ. 2566

หรือดูบัญชีโอนเงินหรือตัวอย่างหนังสือได้ที่ลิ้งก์นี้ https://prapun2523.blogspot.com/2022/09/380-25-2565.html?fbclid=IwAR1MXcz4k2QKJQdEyIHpsl7d8Y0mXji8JWj5oOBD_zn55_0XAMVzftOxTiI


(1) ชาตรี จังหวัดลำปาง

(2) ไพลิน  จังหวัดชลบุรี

(3) กาญจนา  จังหวัดมหาสารคาม

(4) พงษ์ศักดิ์  จังหวัดชัยภูมิ

(5) โยธิน  จังหวัดตราด

(6) ธงชัย  จังหวัดนครราชสีมา

(7) ขวัญฤดี  จังหวัดสุรินทร์

(8) ธัญญลักษณ์  จังหวัดเชียงใหม่

(9) พิมพ์พิลา  จังหวัดเพชรบูรณ์

(10) วิไลลักษณ์  จังหวัดบุรีรัมย์

(11) นวลพันธ์  จังหวัดชัยนาท

(12) สุกัญญา จังหวัดอุบลราชธานี

(13) นฤมล  จังหวัดยโสธร

(14) วิทยา จังหวัดพิษณุโลก

(15) ยุพิน จังหวัดร้อยเอ็ด

(16) มงคลชัย จังหวัดลำปาง

(17) วิทูรย์ จังหวัดนครพนม

(18) วารุณี  จังหวัดเชียงใหม่

(19) ลัดดาวัลย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

(20) มาริสา  จังหวัดอ่างทอง

(21) นฤมล จังหวัดนครราชสีมา 

(22)นูรฮัน จังหวัดยะลา

(23) ปัณฑิตา จังหวัดยะลา 

(24) หฤทัย กรุงเทพมหานคร

(25)สุดารัตน์ จังหวัดสงขลา 

(26)เจะและ จังหวัดสงขลา 

(27)อดินันต์ จังหวัดกระบี่ 

(28)กนกพรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี 

(29) อั่งเปา กรุงเทพมหานคร 

(30) ศิริรัตน์ จังหวัดอุทัยธานี 

(31) พรชนก จังหวัดกาญจนบุรี

(32)ธิดากร กรุงเทพมหานคร

(33)สำเริง  จังหวัดนครศรีธรรมราช 

(34)บุษกร จังหวัดขอนแก่น 

(35) จักริน จังหวัดกำแพงเพชร  

(36)นาคินทร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช

(37) กาญจนา  จังหวัดเลย 

(38) วันชัย จังหวัดเชียงใหม่ 

(39) วลุนยุพา  จังหวัดสมุทรปราการ 

(40) ศรีนวล  จังหวัดพิจิตร 

(41)ธัญพร จังหวัดลำพูน 

(42)วรารัตน์ จังหวัดตรัง 

(43) เกศชรัตน์ จังหวัดชัยนาท  

(44) ปภาวดี จังหวัดสงขลา 

(45) เมทินี จังหวัดอุดรธานี 

(46) ป๊อป จังหวัดตรัง 

(47) จันทร์แรม จังหวัดกำแพงเพชร 

(48) นงเยาว์  จังหวัดน่าน 

(49) รัตนา จังหวัดบุรีรัมย์ 

(50) นิตยา จังหวัดน่าน

(51) สุนีย์  จังหวัดยะลา 

(52) ณัฐกิตติ์ จังหวัดนครพนม 

(53) สุนทร จังหวัดพิษณุโลก 

(54) กิตติยาภรณ์ จังหวัดหนองบัวลำภู (เล่มที่ 1)

(55) กิตติยาภรณ์ จังหวัดหนองบัวลำภู (เล่มที่ 2)

(56)ภาณุวัฒน์ จังหวัดพิจิตร 

(57)ภาณุวัฒน์ จังหวัดพิจิตร 

(58) พิพัฒน์พงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี

(59)วาสนา จังหวัดเชียงราย 

(60) วิชุตา จังหวัดสงขลา

(61) จิราวรรณ จังหวัดนครศรีธรรมราช

(62) ฮูสนา จังหวัดสงขลา 

(63)กนกพร จังหวัดยะลา (เล่มที่ 1)

(64)กนกพร จังหวัดยะลา (เล่มที่ 2)

(65)คุณสุกัญญา จังหวัดสุพรรณบุรี 

(66)กันตินันท์  จังหวัดพัทลุง 

(67) จันทร์เพ็ญ จังหวัดกำแพงเพชร 

(68) รัชฎาพร พระนครศรีอยุธยา 

(69)ชุฎารัตน์ กรุงเทพมหานคร 

(70)อภิญญา  จังหวัดภูเก็ต

(71) วิศรุต   จังหวัดสมุทรปราการ 

(72) ฟารีดะห์ จังหวัดปัตตานี

(73)นภคประภา จังหวัดสุรินทร์ 

(74) รุ่งโรจน์  จังหวัดพิจิตร 

(75) สมัชญา  จังหวัดปทุมธานี 

(76) ดาวสวรรค์ จังหวัดยโสธร

(77) สุภาภรณ์  จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

(78) เจมส์  จังหวัดอุบลราชธานี 

(79) ภูมิพัฒน์  จังหวัดสงขลา 

(80) รติรส จังหวัดชลบุรี

(81) อาภาพร จังหวัดอุตรดิตถ์ 

(82) พรรณิภา จังหวัดกาฬสินธุ์ 

(83)ชนิตา จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

(84)วรรณรัตน์ จังหวัดกระบี่ 

(85)วิจิตรา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

(86)จักรี จังหวัดขอนแก่น 

(87)บีม จังหวัดนครสวรรค์

(88) ภาวิณี จังหวัดมหาสารคาม

(89) นวลจันทร์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

(90) สาวิตรี จังหวัดนครสวรรค์ 

(91) วาซีต้า จังหวัดสตูล 

(92)ทัศวรรณ จังหวัดนครพนม

(93)นิภาพร จังหวัดขอนแก่น 

(94) อาทิตยา จังหวัดศรีสะเกษ 

(95) เมวิกา จังหวัดกาฬสินธุ์ 

(96) นิภาพร จังหวัดเชียงใหม่ 

(97)ชัชวาล จังหวัดร้อยเอ็ด 

(98)มาลิณี จังหวัดปัตตานี


#เปิดจองภาค ก.ท้องถิ่นรอบที่ 2 ส่งวันที่ 28 ก.พ. 2566

โอนจอง ตามเลขบัญชี 983-2-12605-3 (กรุงไทย นายประพันธ์ เวารัมย์ เท่านั้น) บัญชีนี้เท่านั้น หรือพร้อมเพย์ 0805361923 ครับ

380 บาท ส่งฟรีทั่วประเทศ


#เปิดจองภาค ก.ท้องถิ่น #เดิมส่งรอบแรกวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2565 (*เลื่อนส่งเป็นวันที่ 5 มกราคม 2566*)
โอนจอง ตามเลขบัญชี 983-2-12605-3 (กรุงไทย นายประพันธ์ เวารัมย์ เท่านั้น) บัญชีนี้เท่านั้น หรือพร้อมเพย์ 0805361923 ครับ
380 บาท ส่งฟรีทั่วประเทศ
(1)ปิยพงษ์ จังหวัดนครราชสีมา
(2)นารีย์ จังหวัดชลบุรี
(3)ปรีชา จังหวัดยะลา
(4)ณรงค์ฤทธิ์ จังหวัดชลบุรี
(5)อัมพร จังหวัดตรัง
(6)ปราริสา จังหวัดศรีสะเกษ
(7) มงคล จังหวัดกระบี่
(8 )วาสนา จังหวัดสตูล
(9) ชัยณรงค์ จังหวัดมุกดาหาร
(10)ทิพย์สุดา จังหวัดขอนแก่น
(11)นัสรีน จังหวัดสตูล
(12) ณัชนิชา จังหวัดตาก
(13) ธีรธร จังหวัดสุพรรณบุรี
(14) ปฐมพงษ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
(15) วิสิฏศักดิ์ กรุงเทพมหานคร
(16 )นุสรา จังหวัดนครพนม
(18) ศิริวรรณ จังหวัดพังงา
(19) ศิริรักษ์ จังหวัดปัตตานี
(20) ธีรพันธ์ จังหวัดชลบุรี
(21) ปัจพร จังหวัดชัยนาท
(22)เทียนชัย จังหวัดสกลนคร
(23) จีราภร จังหวัดสมุทรปราการ
(24) นุชจรินทร์ จังหวัดนครราชสีมา
(25) ปรียาภัทร จังหวัดสมุทรปราการ
(26)สิทธิพงศ์ จังหวัดพิษณุโลก
(27) วรินทร์พร จังหวัดนนทบุรี
(28) กวิสรา จังหวัดพะเยา
(29) โนอัยซะ จังหวัดสตูล
(30) ฐิติรัตน์ จังหวัดสุพรรณบุรี
(31) ฟาตีฮะห์ จังหวัดสมุทรสาคร
(32) อนุชาติ จังหวัดอำนาจเจริญ
(33) รจนา จังหวัดสกลนคร
(34) เนตรนภา จังหวัดสุรินทร์
(35) สุนทรี จังหวัดนครราชสีมา
(36) ธามม์ จังหวัดระยอง
(37)คมกฤช จังหวัดกระบี่
(38) เชาวฤทธิ์ จังหวัดพิจิตร
(39) ทิพรดา จังหวัดสุรินทร์
(40) ปัญญา จังหวัดสมุทรปราการ
(41) สมพร จังหวัดพังงา
(42) ธงชัย จังหวัดบุรีรัมย์
(43) ธีรวรรณ จังหวัดสมุทรปราการ
(44) จิตตาภา จังหวัดพิจิตร
(45) รวิษฎา จังหวัดบุรีรัมย์
(46) จันทนิภา จังหวัดชัยนาท
(47) นิลยา จังหวัดสกลนคร
(48) ฟาตีฮะห์ จังหวัดสมุทรสาคร
(49) อารยา จังหวัดเชียงใหม่
(50) ธันย์จิรกานต์ จังหวัดสมุทรปราการ
(51) อรวรรณ จังหวัดสมุทรปราการ
(52) พงศ์สิทธิ์ จังหวัดพัทลุง
(53)โนรา จังหวัดนราธิวาส
(54)รอมือละ จังหวัดนราธิวาส
(55)ขวัญ จังหวัดสงขลา
(56) เฟียต จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
(57) ชยานันท์ จังหวัดสระแก้ว
(58) เมธนรา จังหวัดสระแก้ว
(59) นันทรัตน์ จังหวัดอุทัยธานี
(60)วทัยพรรณ จังหวัดลำพูน
(61) อาวาตี จังหวัดยะลา
(62) ณัฐภัทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
(63) รัตนาพร จังหวัดสมุทรปราการ
(64)โผน จังหวัดปทุมธานี
(65) บุระภา จังหวัดมหาสารคาม
(66) มณีหยก จังหวัดสตูล
(67)นภาพร จังหวัดชุมพร
(68)อัจฉราพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี
(69) ชนัญชิดา จังหวัดสระบุรี
(70) ภัททิรา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
(71)ปัทมา จังหวัดบุรีรัมย์
(72) ซูไอนี จังหวัดยะลา
(73) แพรวระวี จังหวัดพะเยา
(74)สุทธิดา จังหวัดนนทบุรี
(75)จิราวรรณ กรุงเทพมหานคร
(76) เพาซียะห์ จังหวัดสงขลา
(77) จันทิมา จังหวัดเพชรบูรณ์
(78) จินตหรา จังหวัดนครพนม
(79) ศิรดา จังหวัดปัตตานี
(80) โสภา กรุงเทพมหานคร (เล่มที่ 1)
(81) โสภา กรุงเทพมหานคร (เล่มที่ 2)
(82) รัศมี จังหวัดนนทบุรี
(83) บรรพต จังหวัดพิษณุโลก (เล่มที่ 1)
(84) บรรพต จังหวัดพิษณุโลก (เล่มที่ 2)
(85) บรรพต จังหวัดพิษณุโลก (เล่มที่ 3)
(86) บรรพต จังหวัดพิษณุโลก (เล่มที่ 4)
(87) นันทนา จังหวัดนครสวรรค์
(88)พนมธรัศม์ จังหวัดตรัง
(89)บาสเตียน จังหวัดศรีสะเกษ
(90) กัลยรัตน์ จังหวัดชัยภูมิ
(91) รุ่งนภา จังหวัดชุมพร
(92) สุวัฒนา จังหวัดกำแพงเพชร
(93)นิภาพร จังหวัดสระบุรี
(94)ณัฐรัฐ จังหวัดปทุมธานี
(95)กัญญารัตน์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
(96) พชรกฤต จังหวัดเพชรบูรณ์
(97) ณรงค์ฤทธิ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
(98) จริยา จังหวัดบุรีรัมย์
(99) สุธิดา จังหวัดบุรีรัมย์
(100)กฤตภาส จังหวัดอุบลราชธานี
(101) วีรศักดิ์ จังหวัดกระบี่
(102)พบเพชร จังหวัดกาฬสินธุ์
(103) สุภาพร จังหวัดสระบุรี
(104)Yongyooy จังหวัดขอนแก่น
(105)สุภาภรณ์ จังหวัดร้อยเอ็ด
(106)พิชญาณี กรุงเทพมหานคร
(107) ธนาพร จังหวัดสุรินทร์
(108)จุฑามาศ จังหวัดแพร่
(109)มณฑล จังหวัดอุทัยธานี
(110)ลีลาวดี จังหวัดเชียงราย
(111)กรณภัทร์ จังหวัดนครพนม
(112) กนกวรรณ จังหวัดนครปฐม
(113)ยุวธิดา จังหวัดมหาสารคาม
(114) ปิยะ จังหวัดปราจีนบุรี
(115)สุวิมล จังหวัดภูเก็ต
(116)เนรมิตร จังหวัดขอนแก่น
(117) รุ่งนภา จังหวัดแม่ฮ่องสอน
(118)ลัดลาวัณย์ จังหวัดสตูล
(119)บุษกร จังหวัดนครศรีธรรมราช
(120) ตุ้ม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
(121) ชฎาพร จังหวัดขอนแก่น
(122) วารุณี จังหวัดอุตรดิตถ์
(123) ศวีร์ จังหวัดขอนแก่น
(124)ชลิตา จังหวัดสงขลา
(125) ปุ๋ย จังหวัดนครพนม
(126) ศศิมณฑิดา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
(127) อาหะมะ จังหวัดนราธิวาส
(128) ดวงเดือน จังหวัดฉะเชิงเทรา
(129)ชัยสิทธิ์ จังหวัดสุพรรณบุรี
(130)ชนากาญจน์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
(131)บุ๋มบิ๋ม จังหวัดนครศรีธรรมราช
(132) ณัฐพล จังหวัดสมุทรปราการ
(133) ซากีนะ จังหวัดยะลา
(134)เกียรติศักดิ์ จังหวัดปัตตานี
(135)ชัยพร จังหวัดมหาสารคาม
(136)ภัทรนันท์ จังหวัดเพชรบูรณ์ (**ไม่มีเบอร์โทร)
(137)สุจิตตา จังหวัดศรีสะเกษ
(138) ศรัญญา จังหวัดชัยภูมิ
(139) เบญจวรรณ จังหวัดสุโขทัย
(140) พรกนก จังหวัดตรัง
(141) ชนัญชิดา จังหวัดสงขลา 90110
(142)ื กัลยา จังหวัดบุรีรัมย์
(143)อาลีนา จังหวัดนราธิวาส
(144) วาทิณี จังหวัดราชบุรี
(145)รุ่งทิพย์ จังหวัดสมุทรสาคร
(146) ภควดี จังหวัดอุทัยธานี
(147)แสงตะวัน จังหวัดตรัง
(148) ยุวดี จังหวัดเลย
(149)ณภัสวรรณ์ จังหวัดนราธิวาส
(150)พัทธพร จังหวัดนราธิวาส
(151)มุฮซิน จังหวัดปัตตานี
(152)ณิชนิตา จังหวัดนครปฐม
(153) ขวัญ จังหวัดสระแก้ว
(154) เนตรนภา จังหวัดสงขลา
(155) สุดารัตน์ จังหวัดเชียงใหม่
(156) ฮาวา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
(157) พิมพ์ปวีณ์ จังหวัดหนองคาย
(158) อัลอฟิส จังหวัดปัตตานี
(159) จริยา จังหวัดสงขลา
(160) อัญมณี จังหวัดพิจิตร
(161)อนัญญา จังหวัดแพร่
(162) นูรอานีซา จังหวัดนราธิวาส
(163) จิรัชญา จังหวัดชลบุรี
(164) บุญฤทธิ์ จังหวัดศรีสะเกษ
(165) วิรนุช จังหวัดสงขลา
(166) ภูมิพัฒน์ จังหวัดปราจีนบุรี
(167) คมสันต์ จังหวัดนครพนม
(168)อภิวัฒน์ จังหวัดศรีสะเกษ
(169)จุฬาลักษณ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
(170) นิภาพร จังหวัดจันทบุรี
(171) ณัฐชญาภรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ (เล่มที่ 1)
(172) ศรันภัสร์ จังหวัดนครปฐม
(173) ฐิติกร จังหวัดบุรีรัมย์
(174) ศรัณย์ จังหวัดยโสธร
(175) สร้อยทอง​ จังหวัดปราจีนบุรี​
(176) พรศิริ จังหวัดนนทบุรี
(177)ณัฐชญาภรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ (เล่มที่ 2)
(178)จิตรา จังหวัดอุบลราชธานี

***เปิดจองภาค ก.ท้องถิ่น
#เดิมส่งรอบแรกวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2565 (*เลื่อนส่งเป็น ที่ 5 มกราคม 2566*)
#กำลังเช็คยอดเงิน หากอ่านแล้ว ไม่ได้ตอบกลับและไม่มีรายชื่อ ให้ติดต่อสอบถามกล่องข้อความ หรือติดต่อสอบถาม 0805361923 ,0642594839
โอนจอง ตามเลขบัญชี 983-2-12605-3 (กรุงไทย นายประพันธ์ เวารัมย์ เท่านั้น) บัญชีนี้เท่านั้น หรือพร้อมเพย์ 0805361923 ครับ
ส่งข้อความเพื่อจองที่ https://www.facebook.com/prapun2523


 











#เปิดจองหนังสือภาค ก.ท้องถิ่น ราคา 380 บาท ส่งฟรีทั่วประเทศ

#(สั่งพิมพ์ตามจำนวนโอนจองเเท่านั้น)
ส่งข้อความเพื่อจองที่ https://www.facebook.com/prapun2523

#ดูรายชื่อที่จองหนังสือลิ้งก์นี้รอบที่ 1 https://web.facebook.com/media/set/?vanity=prapun2523&set=a.6096393660390086

#ส่งรอบสองวันที่ 28 เดือนกุมภาพันธ์ 2566

#รายชื่อผู้สั่งจองหนังสือภาค ก.ท้องถิ่น

https://web.facebook.com/media/set/?vanity=prapun2523&set=a.6412323688797080








             โชคดีครับ โชคดีเฮงๆ   ให้กำลังใจ